6 จุดเช็กรถ หลังเที่ยวในช่วงหยุดยาว
การดูแลสภาพรถหลังจากพาไปออกทริปท่องเที่ยวหรือเดินทางไกลนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าในระหว่างการเดินทางนั้น รถที่เรารักนั้นได้มีปัญหาเกิดขึ้นหรือมีส่วนที่เสียหายบ้างหรือไม่ ดังนั้นเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ และเพิ่มความปลอดภัยก่อนขับรถไปทำงานในช่วงหลังวันหยุดยาวนี้ จึงเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
วันนี้ PTT Lubricants มาบอกต่อ 6 จุดเช็กรถ! หลังออกเที่ยวในช่วงหยุดยาวนี้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางกันครับ จะมีจุดไหนที่ควรเช็ก และจะมีวิธีเช็กอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย!
6 จุดเช็กรถ หลังเที่ยวในช่วงหยุดยาว
1. ไส้กรองอากาศ
ระหว่างการเดินทางไกล รถนั้นจะต้องพบเจอฝุ่นควันมากมายบนท้องถนน ซึ่งฝุ่นละอองเหล่านี้ทำให้ไส้กรองอากาศสกปรกนั่นเอง ซึ่งก็สามารถตรวจเช็กได้โดยการ เปิดฝากระโปรงรถขึ้น เพื่อเช็กว่าหม้อกรองอากาศที่อยู่ติดกับลิ้นปีกผีเสื้อนั้นสกปรกและมีฝุ่นเยอะเกินไปหรือไม่ หากมีฝุ่นเยอะเกินไป ก็สามารถถอดเพื่อเคาะฝุ่นออก หรือใช้ลมเป่าออกได้ เพราะหากปล่อยให้ไส้กรองอากาศไว้ ฝุ่นละอองก็จะยิ่งสะสมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นลดลง และไส้กรองตันในที่สุด
2. น้ำยาหล่อเย็น
อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ต้องเช็กรถหลังเดินทางไกล นั่นก็คือระแบบระบายความร้อนของเเครื่องยนต์นั่นเอง ซึ่งสามารถเช็กได้โดยการ สังเกตที่หม้อพักน้ำยาหล่อเย็นจะมีสัญลักษณ์บอกระดับน้ำ คือ Min และ Max ถ้าระดับน้ำอยู่ต่ำกว่า Min แสดงว่าน้ำน้อยเกินไปซึ่งเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์และเป็นเหตุทำให้เครื่องยนต์ฮีตได้ ควรรีบเติมน้ำยาหล่อเย็นก่อนเดินทาง แต่ถ้าหากพบว่าน้ำยาหล่อเย็นมีปริมาณเกินขีด Max จะส่งผลให้น้ำที่เดือดล้นมาและเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ได้เช่นกัน
3. น้ำมันเครื่อง
หลังจากเดินทางไกลควรเช็กรถในส่วนของน้ำมันเครื่องว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ และมีการรั่วซึมหรือไม่ วิธีการเช็ก คือ อการใช้ก้านตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง ถ้าการแสดงผลโชว์ระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าอยู่ในระดับที่ปกติไม่มากและไม่น้อยเกินไป หากนอกเหนือกว่านั้น เช่น ตรวจพบว่าอยู่ในระดับปกติแต่สีของน้ำมันเครื่องมีความดำมาก แสดงว่าน้ำมันเครื่องมีความสกปรกอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการหล่อลื่นลดลง ถ้าตรวจเช็กแล้วพบว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าตัว L แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติอาจทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอได้ และหากตรวจพบว่าระดับน้ำมันอยู่สูงเกินกว่าระดับตัว F แสดงว่าน้ำมันเครื่องมีมากเกินไป และอาจจะทำให้เกิดความร้อนสูง ทำให้รถยนต์กินน้ำมันได้อีกเช่นกัน
4. ล้อ
ในส่วนของล้อนั้น มี 4 จุดที่ควรเช็กด้วยกัน ได้แก่
ความลึกของดอกยาง
เช็กได้โดยการใช้เหรียญบาทเสียบลงตามร่องของยาง หากมองเห็นส่วนใบหน้าเหรียญครบทั้งหมด ถือว่าเป็นสัญญาญเตือนว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว
รอยบนหน้ายาง
หากมีรอยชำรุด ยางปูดบวม ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอกัน มีรอยแห้งแตกอยู่บนแก้มยางรถ หรือไม่มีความยืดหยุ่นในขณะเบรก แสดงว่ายางอาจมีการรั่วซึม ซึ่งเป็นอันตรายในการขับขี่ในครั้งถัดไปได้
ลมดันลมยาง
การตรวจเช็กลมยางมาตรฐานสามารถดูได้จากแผ่นป้ายบริเวณประตูฝั่งคนขับ หากนำรถไปเช็กแล้วพบว่าล้อใดล้อหนึ่งมีความดันลมน้อยกว่าปกติ ลมยางอาจมีการรั่วซึมเกิดขึ้น ดังนั้นควรทำการปะยางหรือเปลี่ยนใหม่ให้เร็วที่สุด
มีสิ่งทิ่มยางรถยนต์
หากพบว่ามีตะปู เศษเหล็ก หรือก้อนหินทิ่มแทง หรืออุดอยู่ที่ยางรถยนต์ อาจทำให้เกิดปัญหายางรั่วหรือเกิดอันตรายถึงขั้นยางระเบิดได้ ควรรีบนำรถยนต์ไปเปลี่ยนยางใหม่เพื่อความปลอดภัยในทันที
5. ช่วงล่างรถยนต์
สามารถตรวจเช็กด้วยการลองขับบนถนนเรียบทางตรง โดยสังเกตพวงมาลัยว่าตรงหรือไม่ หากพวงมาลัยไม่ตรงก็จัดการนำรถไปตั้งศูนย์ใหม่ ในส่วนของพวกชิ้นส่วนต่างๆของช่วงล่าง เช่นลูกหมาก หากขับทางขรุขระแล้วมีเสียงกุกกัก แนะนำให้ช่างแก้ไขโดยด่วน และสุดท้ายในส่วนของโช้ค ตรวจเช็กคราบน้ำมันบริเวณแกนโช้ค ว่ารั่วหรือไม่ เพราะระบบช่วงล่างทั้งหมดมีผลต่อการทรงตัวขณะขับขี่นั่นเอง
6. ตัวถังรถยนต์
ตรวจเช็กร่องลอยตามตัวถังรถยนต์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรอยเพิ่มขึ้น หรือสังเกตรอบตัวถังรถว่ามีรอยบุบหรือรอยขีดใดๆ เพิ่มมาใหม่หรือมีลักษณะที่ผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่ เพราะหากไม่ซ่อมแซมในทันที อาจส่งผลต่อตัวรถในระยะยาวได้
เห็นไหมครับการเช็กรถหลังเดินทางไกลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่ารถยนต์ที่คุณรักจะมีส่วนไหนที่เสียหายบ้างหรือไม่ หากตรวจเช็กรถและเจอปัญหา ก็สามารถนำไปซ่อมแซมก่อนที่จะสายเกินแก้ได้นั่นเอง หมั่นตรวจเช็กสภาพรถอยู่เสมอเพื่อให้รถที่คุณรักใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้นกันนะครับ ด้วยความห่วงใยจาก PTT Lubricants 💙
ที่มา :
https://www.autospinn.com/2019/04/8-checking-your-car-before-a-long-drive-55968