รถยนต์เลขไมล์ 10,000 กิโลเมตร VS รถยนต์เลขไมล์ 100,000 กิโลเมตร ต้องเช็กอะไรบ้าง

835 ผู้เข้าชม

แชร์ Card image cap

รถยนต์เลขไมล์ 10,000 กิโลเมตร VS รถยนต์เลขไมล์ 100,000 กิโลเมตร ต้องเช็กอะไรบ้าง

จำได้หรือไม่ ? ครั้งสุดท้ายที่คุณเช็กระยะรถของคุณคือเมื่อไร ?

หากพูดถึงการบำรุงรักษารถยนต์ ความคิดแรกของผู้ใช้รถหลาย ๆ ท่านไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ซื้อรถใหม่ หรือใช้งานมานานแล้ว คงจะเป็น “การเช็กระยะ” เพราะเมื่อรถมีการใช้งานไปเรื่อย ๆ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์ย่อมมีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ผู้ใช้รถจึงไม่ควรละเลยที่จะตรวจเช็กอะไหล่และของเหลวที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ เพื่อที่จะแก้ไขและจะได้แก้ไขซ่อมแซมได้ทันท่วงที ป้องกันไม่ให้ปัญหาต่อการใช้งาน

วันนี้ PTT Lubricants จะพาทุกท่านมาเปรียบเทียบกันว่า ระหว่างรถที่วิ่งมาแล้ว 10,000 กิโลเมตร กับรถที่วิ่งมาแล้ว 100,000 กิโลเมตร สิ่งที่ควรเช็กจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง พร้อมแล้วไปดูกันได้เลย!

 

  • เมื่อรถยนต์วิ่งครบ 10,000 กิโลเมตร

ถึงแม้จะเป็นรถใหม่ ที่วิ่งมาได้เพียง 10,000 กิโลเมตร แต่ควรตรวจเช็กสภาพของอะไหล่และของเหลวต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์ ไม่ต่ากับรถที่ใช้งานมานานเพื่อให้การทำงานของรถมีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยยืดอายุการใช้งานของอะไหล่ต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่ผู้ใช้รถควรเช็กจะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

การสลับยาง การถ่วงล้อ 

เมื่อใช้งานรถยนต์ไปเป็นระยะหนึ่ง ยางแต่ละเส้นจะมีการสึกหรอมากน้อยต่างกันไป นั่นก็เพราะว่ายางแต่ละตำแหน่งนั้นรับน้ำหนักที่แตกต่างกัน เพื่อให้ยางเกิดการสึกหรออย่างเสมอกันจึงควรสลับยางและถ่วงล้อให้เหมาะสม โดยสลัยยางทุกๆ 10,000 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางให้นานมากที่สุด 

หากขับรถแล้วรู้สึกถึงอาการเต้นขึ้น - ลงของล้อรถ หรือรู้สึกถึงอาการส่ายไปมาของล้อรถ ปัญหานี้อาจเกิดจากการตั้งศูนย์หรือการถ่วงล้อ ซึ่งอาการศูนย์ล้อไม่ตรงหรือไม่สมดุลอาจทำให้ยางของคุณสึกหรอก่อนเวลาอันควรให้รีบเข้ามาตรวจเช็กที่ศูนย์บริการซ่อมรถ เพื่อรับการแก้ไขโดยด่วน

ที่ปัดน้ำฝน

อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นสำหรับรถยนต์ทุกคัน เพราะจะช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาฝนตกหนัก ดังนั้น เมื่อถึงระยะถึง 10,000 กิโลเมตร ควรเช็กประสิทธิภาพในการปัดน้ำฝน เพื่อให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา

ระบบช่วงล่าง

ส่วนสำคัญที่ช่วยรองรับน้ำหนักของตัวรถยนต์ ทำให้เกิดความสมดุลและทำให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ โดยเมื่อถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร ควรตรวจเช็กระบบช่วงล่างทั้งหมด รวมถึงอุดจาระบี เพื่อหล่อลื่นจุดเสียดสีต่าง ๆ บริเวณช่วงล่างให้ทำงานได้ปกติ

โช๊คอัพ หน้า-หลัง 

อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยในการรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถขณะขับขี่ โดยเมื่อถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร ผู้ใช้รถทุกคนควรตรวจเช็กโช๊คอัพ เพื่อให้รถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลและทรงตัวได้ดี

น้ำมันเครื่อง

โดยน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญในการดูแลรักษาการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้น จึงควรมีการตรวจเช็กและเปลี่ยนถ่ายตามระยะที่กำหนด โดยค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 10,000 กิโลเมตร หรือสามารถตรวจสอบระยะเปลี่ยนถ่ายที่เหมาะสมได้ที่คู่มือของรถยนต์ หรือ เปลี่ยนถ่ายตามระยะตามเกรดของน้ำมันเครื่องที่เลือกใช้จากคำแนะนำของผู้ผลิตน้ำมัน ผู้ใช้รถควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการรถเพื่อตรวจเช็กสภาพของน้ำมันเครื่องนะครับ

ระบบคลัตช์

ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยตัดต่อกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังชุดเกียร์ โดยและเมื่อใช้รถถึงระยะถึง 10,000 กิโลเมตร ควรตรวจดูการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันคลัตช์ เพื่อให้รถเคลื่อนตัวต่อไปได้เมื่อเปลี่ยนเกียร์หรือสตาร์ตเครื่อง

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน และสภาพการจราจร ถ้าเป็นผู้ใช้รถในเมืองที่ต้องพบเจอกับการจราจรที่ติดขัดเป็นประจำ จนทำให้ต้องเปลี่ยนเกียร์ และออกตัวบ่อย ๆ อาจทำให้อายุการใช้งานของชุดคลัตช์สั้นลง จึงควรเปลี่ยนทุก 100,000 – 150,000 กิโลเมตร 
 

  • เมื่อรถยนต์วิ่งครบ 100,000 กิโลเมตร

เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะรถยนต์ส่วนใหญ่มีการรับประกันอยู่ที่ 100,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3 ปี หลังจากนั้น ผู้ใช้รถต้องดูแลรถด้วยตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่ผู้ใช้รถควรเช็กจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ยางรถยนต์

     ถือเป็นชิ้นส่วนอะไหล่สำคัญที่ช่วยให้การขับขี่ของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะช่วยเรื่องการยึดเกาะกับพื้นถนนส่งผลให้การเคลื่อนที่และการเลี้ยวของรถเป็นไปได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยหากประเมินจากความลึกของร่องดอกยางรถและสภาพของยางแล้วยังคงอยู่ในสภาพที่ดี ไม่เคยมีรอยรั่วหรือเกิดเสียงดังผิดปกติมาก่อน ยังสามารถใช้งานต่อไปได้ถึงประมาณ 50,000 กิโลเมตร แต่หากใช้งานมาแล้วประมาณ 70,000 – 100,000 กิโลเมตร ยางจะเกิดการเสื่อมสภาพ จึงควรรับการเช็กสภาพ หรือเปลี่ยนยางเพื่อความปลอดภัย

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน หรือหากประเมินแล้วว่ายางมีการเสื่อมสภาพก่อนระยะที่กำหนด สามารถเปลี่ยนยางได้เลยทันทีเพื่อความปลอดภัยนะครับ 

หลอดไฟต่าง ๆ

เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อสื่อสารกับรถยนต์คันอื่นๆ บนท้องถนน โดยเฉพาะการขับขี่ในช่วงเวลากลางคืนที่จะช่วยเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ ดังนั้นจึงไม่ควรละเลย  ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า ไฟท้าย หรือแม้แต่ไฟในรถ หากเช็กแล้วพบว่าหลอดไฟหลอดใดหลอดหนึ่งขาด ควรรีบเปลี่ยนทันทีเพื่อให้หลอดไฟใช้งานได้เป็นปกติอยู่เสมอนะครับ

ระบบเบรก

ระบบที่ช่วยเรื่องความปลอดภัยให้กับคุณ ซึ่งมี 3 ส่วนหลัก ๆ ที่ต้องตรวจเช็ก ได้แก่ ผ้าเบรก, น้ำมันเบรก และจานเบรก หากเหยียบเบรกแล้วมีเสียงดังผิดปกติบริเวณล้อรถ นั่นก็แปลว่าถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้ว

อ่านรายละเอียดผลิตภัณฑ์น้ำมันเบรกเพิ่มเติม: https://pttlubricants.pttor.com/th/product_detail/1/1/11

ไส้กรองแอร์

อะไหล่สำคัญที่ช่วยในการกรองฝุ่นละอองและดักสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับอากาศไม่ให้เข้าไปในห้องโดยสาร โดยปกติควรตรวจทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อดูสิ่งสกปรกภายในไส้กรองแอร์ และเมื่อถึงระยะ 100,000 กิโลเมตร ควรเปลี่ยนไส้กรองแอร์ใหม่ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีภายในรถด้วยนะครับ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน หรือประเมินว่าไส้กรองแอร์มีความสกปรกแค่ไหน หากสกปรกมากสามารถเปลี่ยนใหม่ได้เลยทันที

น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์

เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นตัวกลางในการส่งกำลังจากการบังคับพวงมาลัยไปสู่การบังคับล้อ รวมถึงป้องกันสนิมและหล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในระบบพวงมาลัยและระบบบังคับล้อ ดังนั้น เมื่อใช้งานไปได้สักระยะ น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์จะเริ่มเสื่อมสภาพ จึงควรทำการเปลี่ยนทุก  80,000 - 100,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทรุ่นรถ

อ่านรายละเอียดผลิตภัณฑ์น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เพิ่มเติม: https://pttlubricants.pttor.com/th/product_detail/1/1/14

น้ำมันเครื่อง

หัวใจสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ และช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ดังนั้น เมื่อถึงระยะประมาณ 100,000 กิโลเมตร ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการรถเพื่อตรวจเช็กสภาพของน้ำมันเครื่องเช่นเดียวกับระยะ 10,000 กิโลเมตร

อ่านบทความ เคลียร์ให้ชัด น้ำมันเครื่องควรเปลี่ยนตอนไหน? 

👉 https://pttlubricants.pttor.com/knowledge_bit_detail/3/64

แบตเตอรี่

     อุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าและสำรองไฟในรถของคุณ ซึ่งประสิทธิภาพของแบตเตอรี่จะลดลงตามอายุการใช้งาน ซึ่งปกติจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หรือน้อยกว่านั้น ดังนั้น หากเกินระยะเวลาที่กำหนด อย่าลืมตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่ หรือควรเปลี่ยนทุกระยะประมาณ 100,000 กิโลเมตร นะครับ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ชนิดของแบตเตอรี่ และลักษณะการใช้งาน

หัวเทียน

อุปกรณ์ในการสร้างประกายไฟเพื่อจุดระเบิดเมื่อเราสตาร์ตเครื่องยนต์ โดยหากใช้ไประยะเวลาหนึ่งแล้วก็จะเกิดการเสื่อมสภาพ จึงแนะนำว่าควรเปลี่ยนทุกระยะประมาณ 100,000 กิโลเมตร หรือประเมินจากสภาพหัวเทียน 

หากพบว่าเมื่อเร่งเครื่องยนต์แล้วมีอาการเครื่องสะดุด เดินไม่เรียบ อาจมีสาเหตุมาจากหัวเทียน ดังนั้น ผู้ใช้รถควรเช็กสภาพของหัวเทียนเมื่อใช้งานครบระยะ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนได้ทันทีเพื่อความปลอดภัยนะครับ

สายพาน

อุปกรณ์ที่มีหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น สายพานไทม์มิ่ง สายพานหน้าเครื่อง จะมีระยะเวลาการเปลี่ยนอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อถึงระยะประมาณ 100,000 กิโลเมตรเป็นต้นไป และยังไม่เคยเปลี่ยน ให้ตรวจเช็กสายพาน ว่ายังคงตึง ไม่ขาด ถ้ายังคงสภาพปกติ จะสามารถใช้งานต่อได้

หากสังเกตว่ารถมีเสียงดัง (เอี๊ยดๆ) เวลาวิ่งหรือรอยแตกร้าวจากการสึกหรอให้รีบเปลี่ยนใหม่ทันที

หมายเหตุ ระยะการเปลี่ยนอะไหล่ และของเหลวดังที่ระบุนี้ เป็นระยะแนะนำทั่วไปสำหรับรถยนต์นั่ง รถปิคอัพ เอสยูวีและพีพีวีเป็นหลัก โดยเจ้าของรถสามารถอ้างอิงระยะการตรวจเช็กและเปลี่ยนอะไหล่ตามที่ระบุในคู่มือรถแต่ละรุ่นแต่ละประเภทได้

 

รู้อย่างนี้แล้ว หากคุณเป็นคนที่ใช้รถเป็นประจำ อย่าลืมตรวจเช็กอะไหล่และของเหลวตามระยะ เพื่อความปลอดภัยกับตัวผู้ขับขี่และเป็นการยืดอายุการใช้งานรถให้ยาวนานมากขึ้นนะครับ 

ที่สำคัญ ควรหมั่นตรวจเช็กและเปลี่ยนถ่ายสารหล่อลื่นทุกชนิดภายในเครื่องยนต์อยู่เสมอ โดยใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก PTT Lubricants ที่พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่ PTT Station และ FIT Auto หรือร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ PTT Lubricants ใกล้บ้านคุณ 💙