พฤติกรรมการดูแลเเบตเตอรี่ที่ผู้ใช้รถต้องรู้
เพราะเรื่องระบบไฟฟ้าในรถเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ “แบตเตอรี่รถยนต์” ที่ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับระบบต่าง ๆ ภายในรถ และจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์สำคัญอีกหลายอย่าง ดังนั้น พฤติกรรมการใช้งานและดูแลรถของคุณ จึงเป็นตัวกำหนดว่า แบตเตอรี่ของคุณจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เเละคงทนตลอดการใช้งานหรือไม่
วันนี้ PTT Lubricants จะพาทุกท่านไปเช็กพฤติกรรมการใช้รถของคุณว่า พฤติกรรมแบบไหน ที่เป็นการรักษาหรือทำลายแบตเตอรี่มากกว่ากัน ถ้าพร้อมเเล้ว ไปดูกันได้เลย!
พฤติกรรมที่ช่วยยืดอายุการใช้งานเเบตเตอรี่
- เช็กน้ำกลั่นแบตเตอรี่เป็นประจำทุกเดือน
หากคุณเป็นผู้ใช้รถเป็นประจำ สิ่งที่ลืมไม่ได้ คือการตรวจเช็กน้ำกลั่นแบตเตอรี่ และเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน เพราะหากรถมีการใช้งานหนัก แบตเตอรี่จะร้อนขึ้นส่งผลให้น้ำกลั่นระเหยออกไป ดังนั้น ผู้ใช้รถควรเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับ UPPER LEVEL จึงจะเหมาะสม และไม่ควรเติมเกินกว่าระดับ UPPER/LEVEL เนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงได้ อีกทั้ง ขณะรถวิ่งจะเกิดความร้อน และส่งผลให้น้ำกลั่นล้นออกมา โดยกรดในน้ำกลั่นนั้นจะสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย
- ตรวจเช็กจุดยึดแบตเตอรี่
เพราะรถมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาขณะเดินทาง จึงเกิดแรงสั่นสะเทือนบริเวณเครื่องยนต์ ส่งผลให้ชิ้นส่วนภายในของแบตเตอรี่ได้รับการกระแทกและเกิดความเสียหาย จนอาจทำให้มีอายุการใช้งานที่สั้นลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ใช้รถควรเช็กจุดยึด หรือตำแหน่งที่วาง ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และยึดอย่างแน่นหนาในการติดตั้งหรือไม่ เพื่อทำให้แบตเตอรี่ไม่สั่นเมื่อรถมีการเคลื่อนที่
- ทำความสะอาดแบตเตอรี่สม่ำเสมอ
เพราะแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งาน ย่อมมีฝุ่น หรือคราบสิ่งสกปรกเกาะเป็นจำนวนมากตามระยะการใช้งาน โดยหากไม่ได้รับการทำความสะอาดอยู่เสมอ ฝุ่นและสิ่งสกปรกเหล่านี้ก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการจ่ายไฟของแบตเตอรี่ลดลง อีกทั้งจุดจ่ายไฟของแบตเตอรี่จะถูกกัดกร่อนตามระยะเวลาของการใช้งานอีกด้วย ดังนั้น พฤติกรรมที่ผู้ใช้รถควรทำ คือการหมั่นทำความสะอาดแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
เพราะการทำความสะอาดสม่ำเสมอ จะช่วยรักษาเเบตเตอรี่ของคุณให้ใช้ได้อย่างยาวนาน และจ่ายไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคุณสามารถทำความสะอาดแบตเตอรี่ได้ด้วยการใช้แปรงสีฟันจุ่มด้วยเบกกิ้งโซดาและน้ำเปล่า ขัดถูบริเวณที่สกปรก และเช็ดออกด้วยผ้าสะอาด นอกจากนี้ ควรรักษาแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพที่ สะอาด แห้ง ไม่มีฝุ่นจับ และไม่มีคราบเปื้อน
- หมั่นทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่รถยนต์
สิ่งที่มาพร้อมกับการใช้งาน คือ ความสกปรกที่มักเกิดจากการใช้งาน โดยเฉพาะส่วนขั้วแบตเตอรี่ ที่มักจะเกิดเป็นคราบขี้เกลือเกาะติดที่ขั้วแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบ โดยหากปล่อยให้คราบหนาขึ้นมากเท่าไร ประสิทธิภาพในการไหลของกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี่ก็จะลดน้อยลงเท่านั้น
หากสังเกตว่ามีผงสีขาวหรือสีฟ้า เกิดขึ้นบริเวณขั้วแบตเตอรี่หรือแคมป์รัดแบตเตอรี่ ควรรีบทำความสะอาดทันที ด้วยการใช้น้ำร้อนราดลงบริเวณขั้วแบตเตอรี่ที่เกิดขี้เกลือ จากนั้นเอาแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วขัดให้ทั่วบริเวณขั้วแบตเตอรี่ ให้หลุดออกให้หมด และราดน้ำเปล่าตามปริมาณมากปิดท้ายด้วยการเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้แบตเตอรี่กลับมาสะอาด พร้อมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วครับ
- เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะที่กำหนด
เพราะอะไหล่รถยนต์ย่อมมีวันหมดอายุตามกาลเวลาและการใช้งาน ดังนั้น ผู้ใช้รถควรนำรถไปเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็กแบตเตอรี่ทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร หรือไม่เกิน 2-3 ปี
พฤติกรรมที่ลดทอนอายุการใช้งานเเบตเตอรี่
- เติมน้ำเปล่าแทนน้ำกลั่นรถยนต์
พฤติกรรมที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องการเติมน้ำเปล่าแทนน้ำกลั่นรถยนต์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มทั่วไป หรือน้ำปะปา น้ำเหล่านี้จะมีความเป็นด่าง และมีแร่ธาตุเจือปนอยู่มาก ทำให้เมื่อเติมน้ำเข้าไปจะไปผสมกับของเหลวในแบตเตอรี่ที่เป็นน้ำกรด ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ส่งให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในแบตเตอรี่ได้ และทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ แรงดันของแบตเตอรี่ลดลง และยังทำให้อายุการใช้งานสั้นลงอย่างชัดเจนอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อน้ำในแบตเตอรี่แห้งหรือลดลง ผู้ใช้รถควรเติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์มาเติมเท่านั้น เพื่อช่วยรักษาอายุการใช้งาน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนะครับ
- ขับรถระยะสั้นบ่อย ๆ
พฤติกรรมที่คุณเองอาจจะคาดไม่ถึง เพราะหลายคนอาจจะคิดว่าการขับระยะไกลเป็นเวลานานทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักและเสื่อมเร็ว แต่ขณะเดียวกัน การขับรถระยะสั้นบ่อย ๆ ก็ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้เร็วมากเช่นกัน เพราะโดยปกติ แบตเตอรี่จะทำหน้าที่จ่ายไฟได้ก็ต่อเมื่อชาร์จไฟระหว่างที่เราขับรถ เพราะฉะนั้น การที่เราขับรถระยะสั้น จะทำให้แบตเตอรี่ไม่มีช่วงเวลาเพียงพอได้ชาร์จไฟ ส่งผลให้กำลังไฟหายไป หากเราทำแบบนี้ซ้ำบ่อย ๆ หรือทุกวัน จะส่งผลให้แรงดันไฟฟ้าลดลงไป จนสุดท้ายแบตเตอรี่สูญเสียกำลังไฟ และไม่สามารถชาร์จไฟเพื่อสตาร์ตรถได้
- จอดรถบริเวณที่อากาศร้อนจัด
สภาพอากาศร้อนจัดเป็นอันตรายต่อรถของคุณโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแสงแดดแผดเผาตลอดเวลา พฤติกรรมการจอดรถไว้กลางแจ้งจึงไม่เป็นผลดีต่อรถของคุณอย่างเเน่นอน เพราะความร้อนจากสภาพอากาศจะไปเร่งการทำงานทางเคมีของแบตเตอรี่ ทำให้ของเหลวที่อยู่ในแบตเตอรี่อาจระเหยออกได้ ส่งผลให้โครงสร้างภายในของแบตเตอรี่เสียหาย จนกลายเป็นปัญหาที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพและมีอายุการใช้งานที่ลดลง เพราะฉะนั้น เราควรจอดรถในสถานที่ที่มีสภาพอากาศไม่ร้อดจัด หรือจอดในบริเวณที่มีหลังคาบัง หรือมีร่มไม้ เพื่อลดการเจอแสงแดดที่จะส่องมาที่รถโดยตรง
- ปล่อยให้น้ำกลั่นในแบตเตอรี่แห้ง
ปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับผู้ใช้แบตเตอรี่แบบน้ำ เพราะแบตเตอรี่ประเภทนี้ต้องมีการเช็กระดับน้ำกลั่น และมีการเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง น้ำกลั่นจะระเหย และลดลงเรื่อย ๆ โดยหากปล่อยให้แบตเตอรี่แห้งบ่อย ๆ จะส่งผลให้แบตเเสื่อมสภาพได้ เราจึงควรเช็กระดับและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอ เพื่อเป็นการรักษาอายุการใช้งานแบตเตอรี่
- สตาร์ตรถจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน
พฤติกรรมที่ผู้ใช้รถมักกระทำเมื่อต้องการจอดรถเพื่อไปทำธุระและไม่ต้องการดับเครื่องยนต์ โดยการสตาร์ตรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน หากกระทำบ่อย ๆ จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักเกินความจำเป็น และเป็นผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากต้องการทำธุระเป็นเวลานานควรดับเครื่องยนต์ให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่านะครับ
- ไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน
เพราะการจอดรถทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ในความเป็นจริงการไม่ได้ใช้งานรถเป็นระยะเวลานาน ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่ารถจะไม่ได้ใช้งาน แต่แบตเตอรี่ไม่ได้หยุดทำงานตามไปด้วย อีกทั้งประจุไฟที่อยู่ในแบตเตอรี่จะหายไปตามกาลเวลา ส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดการเสื่อมสภาพไปเรื่อย ๆ ยิ่งจอดรถทิ้งไว้นานมากเท่าไร อาจทำให้เจอปัญหาแบตเตอรี่หมดจนสตาร์ตรถไม่ติดได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการดูแลรักษาแบตเตอรี่ของคุณ ควรสตาร์ตเครื่องยนต์ทิ้งไว้วันเว้นวันประมาณ 5 นาที หรือนำรถออกไปวิ่งสักระยะก็เพียงพอแล้ว
อ่านจบแล้ว หวังว่าแฟนเพจของเราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานรถและการดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วด้วยนะครับ ด้วยความห่วงใยจาก PTT Lubricants 💙